วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

10 อันดับ หนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2555

อันดับ 1 : ATM เออรัก เออเร่อ



อันดับที่ 1 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง ATM เออรัก เออเร่อ รายได้รวม 158.6 ล้านบาท




อันดับ 2 : รัก 7 ปี ดี 7 หน

รัก 7 ปี ดี 7 หน

อันดับที่ 2 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หน รายได้รวม 68.8 ล้านบาท


อันดับ 3 : คุณนายโฮ

คุณนายโฮ

อันดับที่ 3 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง คุณนายโฮ รายได้รวม 65.3 ล้านบาท


อันดับ 4 : วาเลนไทน์ สวีทตี้

วาเลนไทน์ สวีทตี้

อันดับที่ 4 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง วาเลนไทน์ สวีทตี้ รายได้รวม 62.5 ล้านบาท


อันดับ 5 : ยักษ์

ยักษ์

อันดับที่ 5 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง ยักษ์ รายได้รวม 52.3 ล้านบาท


อันดับ 6 : I Miss U รักฉันอย่าคิดถึงฉัน

I Miss U รักฉันอย่าคิดถึงฉัน

อันดับที่ 6 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง I Miss U รักฉันอย่าคิดถึงฉัน รายได้รวม 44.2 ล้านบาท


อันดับ 7 : สาระแน โอเซกไก

สาระแน โอเซกไก

อันดับที่ 7 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง สาระแน โอเซกไก รายได้รวม 40.8 ล้านบาท


อันดับ 8 : จันดารา ปฐมบท

จันดารา ปฐมบท

อันดับที่ 8 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง จันดารา ปฐมบท รายได้รวม 40.3 ล้านบาท


อันดับ 9 : ยอดมนุษย์เงินเดือน

ยอดมนุษย์เงินเดือน

อันดับที่ 9 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง ยอดมนุษย์เงินเดือน รายได้รวม 39.5 ล้านบาท


อันดับ 10 : ตีสาม

ตีสาม

อันดับที่ 10 ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง ตีสาม รายได้รวม 37.9 ล้านบาท - See more at: http://www.koratnana.com/index.php?topic=3434.0#sthash.N3RYqnrh.dpuf



อ้างอิง
 http://www.koratnana.com/index.php?topic=3434.0

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ขนมไทย





          

 ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไป
ประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง  นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ  งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัด

เป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย  ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง   ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด   ตลอดจนลักษณะที่
กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ

           ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ  เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
โดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกันตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วยต่อมาใน
สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ  อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอา
วัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น  วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ 
ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ  แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ  และอะไร
ดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่นเช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราย จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น  สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ 
ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น  ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น  หากยังให้
ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย  ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ 
ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์

           ขนมไทย   เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี  เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้
เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ       ตั้งแต่วัตถุดิบ  วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน    ในเรื่องรสชาติ สีสัน 
ความสวยงาม กลิ่นหอม   รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน   ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตก
ต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ 

           ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย    ในพิธีการต่าง ๆ   เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนม
จากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ    งานศิริมงคลต่าง ๆ   เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด 
หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่       ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน      เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมี
ฝอยทอง    เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน      ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน      ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู 
ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น

ขนมที่ใช้ในงานมงคลสมรส
ถ้าเป็นงานมงคลสมรสมักจะทำขนมหวานให้ครบ 9 สิ่งขนมที่ใช้ในงานมงคลสมรสตามประเพณี  ทางฝ่าย

เจ้าสาวจะต้องเป็นผู้จัด และขนมที่นิยมจัด คือ
           1. ฝอยทองหรือทองหยิบ
           2. ขนมชั้น
           3. ขนมถ้วยฟู
           4. ขนมทองเอก
           5. ขนมหม้อแกง
           6. พุทราจีนเชื่อม
           7. ข้าวเหนียวแก้ว หรือวุ้นหน้าสีต่าง ๆ 
           8. ขนมดอกลำดวน
           9. ผลไม้ต่าง ๆ ลอยแก้ว

      แต่ตามความเชื่อบางอย่างของคนไทย ขนมที่มีลักษณะเป็นเส้น มักจะใช้สำหรับงานทำบุญอายุ     เพราะเชื่อ

ว่าจะช่วยให้มีอายุยืนยาว     แต่กลับไม่ใช้จัดในงานศพ      เพราะเชื่อว่าจะมีการตายต่อเนื่องไม่เป็นมงคล  ความเชื่อ


อ้างอิง
http://kanomthai.exteen.com/page

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน


10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

อาหารเพื่อสุขภาพ



          ไม่ว่าใคร ๆ ก็ล้วนแล้วอยากจะมีสุขภาพที่ดีไม่ต่างกัน ดังนั้น การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนเลือกใช้และที่สำคัญ มันให้ผลลัพธ์ที่ดีซะด้วยสิ  โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดีจากภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ทุกวันเลยล่ะ 

          อ๊ะ ๆ แต่รู้มั้ยคะว่า นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณได้รับประทาน "สุดยอดอาหาร" ในทุก ๆ วันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีก เอ? ว่าแต่สุดยอดอาหารที่ว่านี้ คืออะไร อิอิ.. ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

เบอร์รี่


 1. เบอร์รี่ 

          แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย

ไข่ไก่

 2. ไข่ไก่ 

          ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย

ถั่ว

  3. ถั่ว 

          ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย

มะม่วงหิมพานต์

  4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์ 

          เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย

ส้ม


 5. ส้ม 

          เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว

มันเทศ

 6. มันเทศ 

          อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ

บร็อกโคลี

  7. บร็อคโคลี่ 

          เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย

ชา

  8. ชา 

          แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ

คะน้า

  9. คะน้า 

          มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก

โยเกิร์ต

  10. โยเกิร์ต 

          อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ

อ้างอิง
http://health.kapook.com/view16463.html

10 อันดับน้ำหอมขายดีตลอดกาลที่มีคนรีวิวมากที่สุดของไทย





10 อันดับน้ำหอมขายดีตลอดกาลที่มีคนรีวิวมากที่สุดของไทย

 
อันดับที่ 10 Davidoff Cool Water for Women 100ml 


Davidoff Cool Water for Women 100ml 


เป็นน้ำหอมคราส สิคยอดนิยม มีกลิ่นหอมสะอาดสดชื่น เย็นๆ ผสานเข้ากับกลิ่นของดอกไม้แรกแย้ม ให้บรรยากาศฤดูร้อน รวบรวมกลิ่น ไม่ว่าจะเป็น water lily, rose, jasmine, sandalwood,peach และ amber ที่จะทำให้คุณรู้สึกสดใสสดชื่นและกลายเป็นสาวช่างฝัน ทันใด

อันดับที่ 9 Kenzo Flower EDT 100ml 

น้ำหอม Kenzo Flower EDT 100ml

รุ่น นี้ถือเป็นน้ำหอมรุ่นยอดนิยมและสร้างชื่อให้กับ Kenzo เลยก็ว่าได้ เพราะทั้งความหอมของกลิ่น และทั้งความหวานของขวดเลยทำให้สาวๆต่างเทใจให้เต็มที่ บอกได้คำเดียว "ต้องมี" ให้ความหอมเซ็กซี่แบบตะวันออกที่คลาสสิค จากดอกกุหลาบบัลแกเรียน ผสมไวท์ มัสก์ ขวดนี้หอมทนนานดี น้ำหอมที่ติดอันดับความยอดนิยมของเหล่าบรรดาคุณสุภาพสตรี ที่หลงเสนห์ ความหอมของ FLOWER BY KENZO ที่รวบรวมความหอมของบรรดา จากมวลดอกไม้ หลากหลายชนิดที่ผสมผสานและสกัดความหอมนี้ออกมาได้อย่างลงตัว และแสนที่น่าประทับมากที่สุด แก่ผู้คนที่ได้สัมผัสกับกลิ่นหอมนี้ ความหอมแบบคลาสสิคที่มีอยู่ในตัว บวกกับอารยธรรมจากตะวันออกยิ่งทำให้ความหอมนั้นทวีคูณยิ่ง ขึ้นอีก เหมือนเป็นมนตร์สะกดของ FLOWER BY KENZO ที่ใครก็แล้วแต่ถ้าได้กลิ่น ได้สัมผัส เป็นอันต้องถูกใจ ติดใจของน้ำหอมขวดนี้เป็นอย่างแน่ อีกทั้งความหอมที่ทนคงทน เนิ่นนาน ทำให้ใครหลาย ๆ ไม่อยากจะเปลี่ยนใจไปใช้น้ำหอมกลิ่นอื่นเลยก็ว่าได้
อันดับที่ 8 DKNY BE Delicious Fresh Blossom 100ml 

DKNY BE Delicious Fresh Blossom 100ml
      ส่วนผสมที่เกิดขึ้นระหว่างผลไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกอ่อนหวานแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกร่าเริงมา กลิ่นที่บริสุทธิ์ สดชื่นและเย้ายวนซึ่งเหมือนกับกลิ่นของดอกแอปเปิลที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความ รัก วัยหนุ่มสาว ความงาม และความสุขเพื่อดึงดูดจิตวิญญาณของคุณและเป็นแรงบันดาลใจให้กับหัวใจของคุณ สัมผัสความเปล่งปลั่ง โอบกอดความมีชีวิตชีวาของมันไว้คุณไม่อาจจะหักห้ามใจได้ ไม่ว่าเวลานี้หรือเวลาไหน


อันดับที่ 7 Clinique Happy for Women EDP 100ml 

Clinique Happy for Women EDP 100ml
เป็น น้ำหอมที่ให้กลิ่นหอมอ่อนโยนจากดอกไม้นานาชนิด และด้วยกลิ่นหอมอันนี้เอง จะทำให้ตัวคุณพร้อมกับคนรอบข้าง มีความสนุกสนาน ร่าเริง และมีความสุข สเปรย์น้ำหอม ที่ให้ความหอมอบอวลด้วยกลิ่นอายของความสุข เหมาะสำหรับทุกคน ทุกอารมณ์ ผสมผสานความหอมของมวลดอกไม้หลากหลายชนิดที่เลือกสรรแล้ว เช่นกลิ่นในตระกูล citrus ผสมผสานกับกลิ่นหอมบางเบาของกลีบดอกไม้ของต้น West Indian Mandarin Tree Blossom ตามมาด้วยกลิ่นหอมชวนให้หลงใหลจากดอกไม้ Boysen berry Bush Flower


อันดับที่ 6 Britney Spears Fantasy EDP 100ml  
Britney Spears Fantasy EDP 100ml  
น้ำหอมกลิ่นยอดฮิต เรียกว่าน้ำหอมสามัญประจำบ้าน ได้เลยค่ะ สุดยอดน้ำหอมกลิ่นแห่งเสน่ห์ เย้ายวน หวานแบบลูกอม
อันดับที่ 5 Christian Dior Addict 2 EDT 100ml 
Christian Dior Addict 2 EDT 100ml
กลิ่น แนววัยรุ่น  สดชื่น สดใส ร่าเริง แอบมีสไตล์นิด ๆ ในวันท้องฟ้าปลอดโปร่ง เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ผู้ซื้อซื้อแล้วจะกลับมาซื้ออีก
อันดับที่ 4 CK One ใช้ได้ทั้ง Men & Women EDT  
CK One ใช้ได้ทั้ง Men & Women EDT 100ml และ 200ml

กลิ่น หอมกระตุ้นทำให้รู้สึกแจ่มใสขึ้นมาทันที่ได้กลิ่น ด้วยการสกัดกลิ่นจากส้ม มะนาวผสมผสานกับดอกจัสมิน กุหลาบและพืชที่มีกลิ่นหอม กลิ่นนี้ให้ความรู้สึกเป็น Healthy&Sport image น้ำหอม CK one กลิ่นยอดนิยมตลอดกาลของ CK กลิ่นแนวสปอร์ต สะอาด ใส ๆ สำหรับทุกแนว


+ Ck one is a naturally clean, pure, and contemporary fragrance with a refreshingly new point of view. This light, relaxed scent is meant to be used lavishly. ck one Eau de Toilette can literally be splashed all over the body. It is an intimate fragrance, one that you need to be near to smell .

อันดับที่ 3 Christian Dior J'adore EDP 100ml 

Christian Dior J'adore EDP 100ml 
น้ำหอมแนวกลิ่น Fresh Floral หรือดอกไม้หอมสดชื่น ด้วยช่อดอก Peony เต็มอ้อมแขนที่หอมละมุน สู่สัมผัสแห่งความเลอเลิศ ด้วยดอก Champaca และ White Violet หอมหวานเป็นผู้หญิง กับแนวกลิ่นเจิดจรัสของ Star Magnolia ท้ายสุด ต้องยอมจำนนต่อสัมผัสอ่อนละมุนของ Amaranth Wooกลิ่น หอมเลอค่าที่คุณรักดุจดั่งทอง กลิ่นหอมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แห่งวงการน้ำหอมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษร์โดด เด่นไม่เหมือนใคร การนำเอากลิ่นหอมของดอก "Calice" ตัว แทนของผู้หญิงที่อ่อนโยนหอมหวานและสง่างามในขณะเดียวกันมาเป็นกลิ่นหอม หลัก ปลุกเร้าอารมณ์แห่งความปรารถนาตอบโจทย์ของความหอมที่ผู้หญิงทั่วโลกยอมรับ ตราบจนถึงปัจจุบัน

อันดับที่ 2 DKNY Be Delicious for Women 100ml 
DKNY Be Delicious for Women 100ml
ซึ่ง รวมทุกอย่างที่คุณรักใน Be Delicious ไว้ เพียงแต่เบาบางกว่าและสดชื่นยิ่งขึ้น กลิ่นหอมของผลแอปเปิลอเมริกันชุ่มฉ่ำ (Juicy American Apple) อบอวลไปด้วยดอกแมกโนเลีย (Magnolia) และผลเกรพฟรุตหวานหอม (Grapefruit) หัวใจหลักคือความหอมของทิวบ์โรส (Tuberose), มูเกต์สีขาว (White Muget), ดอกกุหลาบ (Rose) และดอกไวโอเล็ต (Violet) ปิดท้ายความหอมนุ่มนวลด้วยแซลดัลวู้ด (Sandalwood), บลอนด์วู้ด (Blond Woods) และอำพันสีขาว (White Amber) Be Delicious ใหม่ จะบรรจุในขวดใส น้ำสีใส และหลอดสีเขียว โลโก้บนกล่องกระดาษแข็งเป็นสีขาว สัญลักษณ์ของกลิ่นบางเบาขึ้น
อันดับที่ 1 Lancome Miracle EDP 100ml 


 Lancome Miracle EDP 100ml 
กลิ่นหอมแบบผู้หญิงๆ ติดทนนาน แค่ทดลองใช้ก็สัมผัสถึงกลิ่มหอม น้ำ หอมสีชมพูแนวกลิ่นฟลอรัลสไปซี่ ที่รวมความหอมหวานของลิ้นจี่ ผสมผสานความละมุนละไมของดอกแมคโนเลียกลมกลืนไปกับเครื่องเทศบางเบา สะท้อนจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง สุขุม เชื่อมั่น และศรัทธาในอนาคต แต่บางคนก็บอกว่าฉีดมากไปมันจะฉุนยังไงคงต้องทดลองกันดู




อ้างอิง 

http://minnyperfume.weloveshopping.com/store/article/view/

''พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖)


''พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖)




พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖)
องค์พระธีรราชเจ้า
ธ คือปราชญ์ผู้ลือนาม
ทรงก่อตั้งกิจลูกเสือ
การปกครองก็การุณย์
คือ “ดุสิตธานี”
สร้างฐานอันรุ่งเรือง
อุปถัมถ์เนติบัณฑิต
ยกระดับกฎหมายไทย
เป็นศูนย์รวมวิชาชีพ
โปรดเกล้าฯ ตั้ง “ตั้งสภา
วางระเบียบโรงเรียนกฎหมาย
นักกฎหมายจึงจดจำ
ยี่สิบห้าพฤศจิกา
เนติบัณฑิตรวมดวงใจ
ผู้ผ่านเผ้าไผทสยาม
ทั่วเขตคามรำลึกคุณ
ด้วยโอบเอื้อเหล่าดรุณ 
ธ หนุนสร้างแบบอย่างเมือง
เป็นที่สอนซึ่งปราดเปรื่อง
จำลองเรื่องประชาธิปไตย
ทรงค้นคิดแนวทางใหม่
ให้กำเนิด “เนติบัณฑิตยสภา”
ทรงเร่งรีบเรื่องศึกษา
นิติศึกษา” เป็นหลักนำ
ให้แพร่หลายและเลิศล้ำ
ที่ ธ ทำเพื่อผองไทย
จารึกคุณยิ่งใหญ่
เทิด ธ ไว้ไม่ลืมเลือนฯ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า เนติบัณฑิตยสภาในพระบรมราชูปถัมภ์
(ศาสตราจารย์ วิชา มหาคุณ ประพันธ์)

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๔๒ เวลา ๘ นาฬิกา ๕๕ นาที ตรงกับวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๔ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ที่ ๒ ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงได้รับพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราวุธ” สมเด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนีตรัสเรียกว่า “ลูกโต” เมื่อพระชนมายุได้ ๘ พรรษา ในปี ๒๔๓๑ ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ปรากฏพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เอกอัครมหาบุรุษบรมนราธิราช จุฬาลงกรณ์นาถราชวโรรส มหาสมมตขัตติยพิสุทธิ์ บรมมกุฎสุริยสันตติวงศ์ อดิสัยพงศ์วโรภโตสุชาติ คุณสังกาศวิมลรัตน์ ทฤฆชนมสวัสดิขัตติยราชกุมาร มุสิกนาม ทรงศักดินา ๕๐,๐๐๐ ตามพระราชกำหนดอย่างสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าต่างกรม ให้ทรงดำรงพระเกียรติยศเป็นชั้นที่ ๒ รองจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และได้มีพระราชพิธีโสกันต์ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๕
ใน พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ผนวชตามโบราณราชประเพณี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประทับจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พรรษา ทรงได้รับสมณฉายาจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระราชอุปัธยาจารย์ว่า “วชิราวุโธ” 
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทนเมื่อเวลา ๐.๔๕ นาฬิกา ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดเป็น ๒ งาน คือ งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมนเทียรเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๓ และงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๔
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรด้วยโรคทางเดินอาหารขัดข้อง ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าทรงพระประชวรด้วยโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทรมาตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ และสวรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ เวลา ๑ นาฬิกา ๔๕ นาที พระชนมพรรษาเป็นปีที่ ๔๖ เสด็จดำรงสิริราชสมบัติได้ ๑๕ พรรษา
เนื่องจากเสด็จสวรรคตเวลา ๑ นาฬิกา ๔๕ นาที ล่วงมาในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ เพียงไม่กี่นาที พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชประสงค์ให้ใช้วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน เป็นวันสวรรคต และวันที่ ๒๖ พฤศจิกายนเป็นวันเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทางราชการได้กำหนดให้วันที่ ๒๕ พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันที่ระลึกวันมหาธีรราชเจ้า และวันที่ ๒๖ พฤศจิกายนเป็นวันเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ

ประวัติวอลเลย์บอล ข้อมูล กีฬาวอลเลย์บอล


ประวัติวอลเลย์บอล ข้อมูล กีฬาวอลเลย์บอล

ประวัติความเป็นมา กีฬาวอลเลย์บอล

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          กีฬาวอลเลย์บอลเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬายอดนิยม ที่มีการแข่งขันระดับชาติ และนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย จนถูกรวมเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนชั้นมัธยมศึกษาในหลายโรงเรียน ซึ่งหลายคนก็คงอยากรู้จักกับกีฬาวอลเลย์บอลให้มากขึ้นเพื่อความสนุกในการชมและเชียร์กีฬาชนิดนี้ใช่ไหมเอ่ย ? วันนี้กระปุกดอทคอมมีข้อมูลของกีฬาวอลเลย์บอลมาฝากกันจ้า ..

ประวัติวอลเลย์บอล

          กีฬาวอลเลย์บอล (Volleyball) นั้น ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) โดย นายวิลเลียม จี. มอร์แกน (William G. Morgan) ผู้อำนวยการฝ่ายพลศึกษาของสมาคม Y.M.C.A. (Young Men's Christian Association) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการมีกีฬาสำหรับเล่นในช่วงฤดูหนาวแทนกีฬากลางแจ้ง เพื่อออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจยามหิมะตก

          โดย นายวิลเลียม จี. มอร์แกน เกิดไอเดียในการพัฒนากีฬาวอลเลย์บอลขึ้น ขณะที่เขากำลังนั่งดูเทนนิส และเลือกนำเอาตาข่ายกลางสนามของกีฬาเทนนิส มาเป็นส่วนประกอบในกีฬาที่เขาคิดค้น และเลือกใช้ยางในของลูกบาสเก็ตบอล มาเป็นลูกบอลที่ใช้ตีโต้ตอบกันไปมา แต่ยางในของลูกบาสเก็ตบอลกลับให้น้ำหนักเบาจนเกินไป จึงเปลี่ยนไปใช้ลูกบาสเก็ตบอลแทน ซึ่งลูกบาสเก็ตบอลก็มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากจนเกินไปอีก เขาจึงสั่งทำลูกบอลขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ในขนาดเส้นรอบวง 25-27 นิ้ว และกำหนดน้ำหนักไว้ที่ 8-12 ออนซ์ จากนั้นจึงตั้งชื่อกีฬาชนิดนี้ว่า มินโทเนตต์ (Mintonette)

          ต่อมา ชื่อของ มินโทเนตต์ (Mintonette) ถูกเปลี่ยนเป็น วอลเลย์บอล (Volleyball) หลังได้รับคำแนะนำจาก ศาสตราจารย์ อัลเฟรด ที เฮลสเตด (Professor Alfred T. Helstead) ในงานประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ (Spring-field College) เมื่อปี ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) และกลายเป็นกีฬายอดนิยมในหมู่ประชาชนชาวอเมริกัน จนแพร่หลายออกไปทั่วโลก รวมทั้งมีการปรับปรุงและพัฒนาอยู่เป็นระยะ

กติกาวอลเลย์บอล

สนามแข่งขัน

          -  จะต้องเป็นพื้นไม้หรือพื้นปูนที่มีลักษณะเรียบ ไม่มีสิ่งกีดขวาง

          -   เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 9 เมตร ยาว 12 เมตร ความสูงจากพื้นประมาณ 7 เมตร มีบริเวณโดยรอบห่างจากสนามประมาณ 3 เมตร

          -  แต่หากเป็นสนามมาตรฐานในระดับนานาชาติ กำหนดให้รอบสนามห่างจากสนามประมาณ 5 เมตร ด้านหลังห่าง 8 เมตร และมีความสูง 12.5 เมตร

          -  เส้นรอบสนาม (Boundary lines) ทุกเส้นจะต้องกว้าง 5 เซนติเมตร เป็นสีอ่อนตัดกับพื้นสนาม มองเห็นได้ชัดเจน

          -  เส้นแบ่งเขตแดน (Center line) ที่อยู่ตรงกลางสนาม จะต้องอยู่ใต้ตาข่าย หรือตรงกับเสาตาข่ายพอดี

ตาข่าย

          -  จะต้องมีความสูงจากพื้น 2.43 เมตร กว้าง 1 เมตร ยาว 9.5 - 10 เมตร

          -  ตารางในตาข่ายกว้าง 10 เซนติเมตร ผู้ติดไว้กับเสากลางสนาม

          -  ตาข่ายสำหรับทีมหญิงสูง 2.24 เมตร

ประวัติความเป็นมา กีฬาวอลเลย์บอล

ลูกวอลเลย์บอล

          -  เป็นทรงกลมมีเส้นรอบวงประมาณ 65-67 เซนติเมตร น้ำหนัก 260-280 กรัม

          -  ทำจากหนังสังเคราะห์ที่ยืดหยุ่นได้

          -  ซึ่งในการแข่งขันระดับโลกจะใช้ลูกบอล 3 ลูกต่อการแข่งขัน เพื่อความต่อเนื่องหากบอลออกนอกสนาม

ผู้เล่น

          -  ในทีมจะต้องมีผู้เล่นไม่เกิน 12 คน ผู้ฝึกสอน 1 คน ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน 1 คน เทรนเนอร์ 1 คน และแพทย์ 1 คน

          -  ผู้เล่นจะลงเล่นในสนามได้ครั้งละ 6 คน โดยแบ่งออกเป็นหน้าตาข่าย 3 คน และด้านหลังอีก 3 คน

          -  สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นครั้งละกี่คนก็ได้ โดยผู้เล่นเดิมที่ถูกเปลี่ยนออก สามารถเปลี่ยนกลับมาเล่นในสนามได้อีก

          -  การแต่งกายในชุดแข่งขัน ต้องแต่งกายเหมือนกันทั้งทีม ประกอบไปด้วย เสื้อสวมคอ กางเกงขาสั้น ถุงเท้า และรองเท้าผ้าใบพื้นยางที่ไม่มีส้น โดยผู้เล่นแต่ละคนจะต้องติดหมายเลขกำกับไว้ที่เสื้อ กำหนดให้ใช้เลข 1-18 เท่านั้น สำหรับหัวหน้าทีมจะต้องมีแถบผ้าขนาด 8x2 เซนติเมตร ติดอยู่ใต้หมายเลขบริเวณอกเสื้อด้วย

ประวัติความเป็นมา กีฬาวอลเลย์บอล   

วิธีการเล่น

          -  ทีมที่ได้เสิร์ฟ จะต้องให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งขวาหลัง เป็นผู้เสิร์ฟเพื่อเปิดเกม จากนั้นผู้เล่นทุกตำแหน่งจะขยับตำแหน่งวนไปตามเข็มนาฬิกา

          -  การเสิร์ฟจะต้องรอฟังสัญญาณนกหวีดก่อน และให้เริ่มเสิร์ฟลูกบอลภายใน 5 วินาที

          -  ทีมที่ได้คะแนนจะเป็นผู้ได้เสิร์ฟ จนกว่าจะเสียคะแนนให้ฝ่ายตรงข้ามจึงจะเปลี่ยนเสิร์ฟ

          -  เมื่อลูกเข้ามาในเขตแดนของทีม จะสามารถเล่นบอลได้มากที่สุด 3 ครั้งเท่านั้น

          -  สามารถบล็อคลูกบอลจากฝ่ายตรงข้ามที่หน้าตาข่ายได้ แต่หากผู้เล่นล้ำเข้าไปในแดนของฝ่ายตรงข้ามจะถือว่าฟาวล์

          -  สามารถขอเวลานอกได้ 2 ครั้งต่อ 1 เซต ให้เวลาครั้งละ 30 วินาที

          -  ทุกครั้งที่แข่งขันจบ 1 เซต จะต้องมีการเปลี่ยนฝั่ง

การคิดคะแนน

          -  ทีมจะได้คะแนนเมื่อลูกบอลตกลงในเขตสนามของฝ่ายตรงข้าม โดยนับเป็นลูกละ 1 คะแนน และหากมีการเสียคะแนน จะต้องเปลี่ยนให้ทีมที่ได้คะแนนเป็นผู้เสิร์ฟ

          -  หากทีมไหนได้คะแนนครบ 25 คะแนนก่อน ก็จะเป็นผู้ชนะในเซตนั้นไป แต่หากคะแนนเสมอกันที่ 24-24 จะต้องมีการดิวซ์ (Deuce) หมายถึงต้องทำคะแนนให้มากกว่าอีกฝ่าย 2 คะแนน ถึงจะเป็นผู้ชนะ เช่น 26-24 หรือ 27-25 เป็นต้น

          -  ต้องแข่งขันกันให้ชนะ 3 ใน 5 เซต จึงจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น

          และนี่คือข้อมูลคร่าว ๆ ของกีฬาวอลเลย์บอล เมื่อรู้จักกีฬาชนิดนี้กันแล้ว ก็อย่าลืมทำความเข้าใจกติกามารยาทในการแข่งขัน และเล่นกีฬากันอย่างมีน้ำใจนักกีฬากันด้วย
อ้างอิง
http://hilight.kapook.com/view/71678